ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมสากล
วัฒนธรรมในแต่ละสังคมย่อมมีความแตกต่างกันออกไป ในที่นี้จะนำเสนอความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมสากล โดยเน้นไปที่วัฒนธรรมของโลกตะวันออกซึ่งมีความใกล้ตัว และเป็นกระแสที่ถาโถมเข้ามายังวัฒนธรรมไทยอย่างมากในปัจจุบัน
วัฒนธรรมสากล คือวัฒนธรรมต่างชาติ ซึ่งอาจเป็นของโลกตะวันออกอันมีวัฒนธรรมยุโรปและอเมริกาเป็นจุดเด่น และโลกตะวันออกอันมีวัฒนธรรมของเอเชียเป็นจุดเด่น
1.วัฒนธรรมด้านอาหาร
อาหารของโลกตะวันตกเน้นความสะดวกสบาย ทั้งขึ้นตอนการทำและการเข้าถึงในการบริโภค เน้นแป้งและเนื้อสัตว์ เพื่อให้ร่างกายมีไขมัน สร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายที่มีอากาศหนาวเย็น ส่วนโลกตะวันออกจะรู้จักนำสมุนไพรมาปรุงแต่งเป็นอาหาร มีความพิถีพิถันในการปรุงแต่งจัดวางสร้างคุณค่าแก่ผู้บริโภคทั้งร่างกายและจิตใจ
อาหารประจำชาติไทย ประเทศไทยมีทั้งอาหารคาวและอาหารหวานสำอาหารคาวของไทยนั้นจะมีทุกรส ทั้งเค็ม หวาน เปรี้ยว และเผ็ด โดยปรุงขึ้นมาในหลายลักษณะดังนี้ แกง ผัด ยำ ทอด หรือย่าง เครื่องจิ้ม และเครื่องเคียง และแห้ง ขนมหวานชนิดแห้ง ปกติจะทำเป็นขนมอบใส่ขวดโหล เพื่อให้เก็บไว้ได้นาน
อาหารประจำชาติเกาหลี อาหารสำคัญของเกาหลี ได้แก่ กิมจิ เป็นผักดองที่มีรสเปรี้ยว เค็มและเผ็ด มีพริกแดงและกระเทียมเป็นส่วนประกอบกิมจิเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาหลีในนานาชาติ
อาหารประจำชาติญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่นทั่วไปประกอบด้วย ข้าว ผัก ซุปปรุงจากเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น มิโซะ ผักดองและปลาหรือเนื้อ เป็นข้าวมักรับประทานกับสาหร่ายทะเลตากแห้ง
2.วัฒนธรรมการอยู่อาศัย มีความแตกต่างกันไปตามสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ ทั้งในเรื่องของการใช้วัสดุและรูปทรง เช่น คนไทยนิยมสร้างบ้านด้วยไม้ มีใต้ถุนสูง เพื่อให้บ้านโปร่ง สบาย น้ำไม่ท่วม เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมจึงนิยมปลูกบ้านริมแม่น้ำ ออกแบบให้หลังคาทรงสูง เพื่อให้อากาศถ่ายเทและให้ความร่มเย็นแก่ผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ยังมีชายคาที่ยื่นยาวออกมาปกคลุมตัวบ้านมากกว่าบ้านทรงยุโรป เพื่อป้องกันแดดและฝน เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในภูมิประเทศเขตร้อน มีผนตกชุก ในขณะที่คนจีนนิยมสร้างสร้างบ้านด้วยดินเหนียวผสมหญ้าหรือหญ้าฟาง รูปทรงคล้ายตึด เพราะอยู่ในภูมิประเทศที่มีอากาศหนาว จึงต้องสร้างบ้านให้กันลมหนาวได้ ส่วนชาวยุโรปมักสร้างบ้านเรือนเป็นตึกก่ออิฐหรือเทคอนกรีต
3.วัฒนธรรมด้านการแต่งกาย
แต่ละประเทศล้วนมีชุดแต่งกายประจำชาติ ซึ่งสะท้อนถึงภูมิปัญญาและความเป็นมาในทางประวัติศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งประจำชาติ
ชุดประจำชาติไทย เป็นสิ่งที่ประดิษฐ์เพื่อการสวมใส่มีทั้งของบุรุษและสตรี เครื่องแต่งกายของบุรุษเรียกว่า ชุดพระราชทาน เสื้อชุดพระราชทานใช้กับกางเกงแบบสากลนิยมสีสุภาพ หรือสีเดียวกับเสื้อ ส่วนการแต่งกายแบบไทยของสตรี เช่น ชุดไทยเรือนต้น ชุดไทยจิตรลดา ชุดไทยอมรินทร์ เป็นต้น
"กิโมโน" เป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่น กิโมโนเป็นที่พันรอบตัวและผูกด้วยผ้าคาด (โอบิ) ชุดของผู้ชายค่อนข้างอนุรักษ์นิยม คือ มักจะใช้สีดำ น้ำตาล เทา และขาว ชุดกิโมโนสำหรับหญิงรุ่นสาวมีสีสว่างสดใสและสีสันลวดลายสวยงาม
"ฮันบก" เป็นชุดประจำชาติเกาหลี ฮันบกเป็นชุดตัดเย็บในลักษณะหลวมๆ เพื่อปกปิกสรีระตามธรรมชาติของร่างกาย ผู้ชายจะสวมชอโกรี(เสื้อคอปิด แขนยาว) กับพาจิ (กางเกงขายาวโป่งพ่อง) ขณะที่ผู้หญิงจะสวมกระโปรงยาวถึงพื้นเอวสูงมาก เรียกว่า "ซีม่า" และเสื้อแขนยาวหลวมๆ ตัวเสื้อสั้นมาก
4.วัฒนธรรมด้านศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว
ศิลปะป้องกันตัว คือ ศาสตร์แขนงหนึ่งที่เน้นการเรียนและฝึกฝนด้านการต่อสู้และป้องกันตัว ซึ่งมีหลายลักษณะด้วยกันแตกต่างกันไปด้วย
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวประจำชาติไทย มวยไทยเป็นศิลปะประจำชาติของไทยที่คนไทยสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วมวยไทยเป็นศิลปะชั้นสูงของการใช้อวัยวะ 6 ประเภท ได้แก่ หมัด ศอกแขน เท้า แข้ง และเข่า มาใช้ในต่อสู้การป้องกันตัว
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันประจำชาติญี่ปุ่น คือ ยูโด เป็นศิลปะการต่อสู้ที่ใช้เมื่ออยู่ในจังหวะประชิดตัว โดยใช้หลักการยืมพลังของคู่ต่อสู้มาเป็นพลังของตนเอง และคาราเต้ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างเป็นจังหวะ เช่น การชก การเตะ การกระแทก การผสมผสานระหว่างการปัดป้องและการจู่โจมในเวลาเดียวกัน
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวประจำชาติเกาหลี คือ เทควันโด เป็นศิลปะการเคลื่อนไหวที่เน้นการใช้เท้าเตะสูงและรวดเร็ว ในกระบวนท่าร่ายรำของเทควันโดประกอบไปด้วยกาปัด ปิด ปกป้อง การชก ใช้กำปั้นสันมือ และนิ้วมือ การหัก การเตะ การขยับหมุนเคลื่อนไหวต่างๆ ของร่างกาย เช่นการหมุนตัว เหวี่ยงเท้า การเตะ การกระโดด เป็นต้น
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวประจำชาติจีน คือ กังฟู หรือ วูซู ศิลปะนี้จะว่าด้วยการใช้กลยุทธ์ทั้งมือและเท้าในการเข้าต่อสู้เป็นสาระสำคัญ มีรูปแบบการร่ายกนะบวนยุทธ และชั้นเชิงต่อสู้เป็นหลักในการฝึก โดยมุ่งเน้นการประสานพลังภายในและภายนอก
5.วัฒนธรรมด้านศิลปะการแสดง
ละคร เป็นมหรสพอย่างหนึ่งที่เล่นเป็นเรื่องราวต่างๆ มีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละชาติ
ละครไทย แบ่งออกเป็นละครรำแบบดั้งเดิม ได้แก่ ละครพันทาง ละครเสภา ละครสังคีต ละครร้อง ละครพูด
ละครของญี่ปุ่น มีการแสดงละคร 3 รูปแบบคือ ละครโน เป็นละครที่เก่าแก่ที่สุด ได้รับความนิยมในศตวรรษที่ 14 ละครโนมีลักษณะเรียบง่าย ตัวละครจะสวมหน้ากากและการแต่งกายแบบโบราณ การพูดและการเคลื่อนไหวของตัวละครจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า ละครบุนระกุ เป็นละครหุ่นที่เริ่มแสดงฝนศตวรรษที่ 16 ตัวหุ่นจะมีการสร้างขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของมนุษย์ และคล้ายกับมนุษย์มาก การแสดงจะใช้คนจริงเล่นรวมกับหุ่นโดยคนเป็นผู้ชักหุ่นให้เคลื่อนไหวไปมาบนเวทีด้วยกันกับหุ่น ละครคาบูกิ เป็นละครที่พัฒนาขึ้นในศตวรรษที่ 17 การแสดงจะเน้นไปที่ความตื่นเต้นเร้าใจ เช่น การต่อสู้ การร่ายรำอาวุธ เป็นต้น